ถ้าจะถามกลุ่มคนอายุ 20++ แต่ไม่เกินสามสิบ ว่า "เคยซื้ออะไรแพงที่สุดในชีวิต?" คอมพิวเตอร์, มือถือ, กล้อง DSLR, แีพ็คเก็จเที่ยวต่างประเทศ และ "รถ"
จากการวิจัยการตลาดของบริษัทรถยนต์ต่างๆ กลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ "คันแรก" จะอยู่ในช่วง 20++ (service charge and VAT) ถ้าจะให้เจาะให้ลึกลงไปอีกรถคันแรกนั้นมีแบบ "มีคนซื้อให้" กับ "ซื้อเอง"
"รถคันแรก" ที่ "มีคนซื้อให้" ก็จะอยู่ในช่วงอายุ 18-24 ปี ส่วนใหญ่ก็จะเป็น พ่อแม่ ซื้อให้นั้นเอง โดยสาเหตุที่ซื้อให้ส่วนใหญ่ก็คือ เอนท์ติด, เรียนจบ, ได้งาน ก็ส่วนใหญ่จะประมาณนี้ อาจจะได้สิทธิ์ในการเลือกรถเองหรืออาจจะได้แบบไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
วกกลับมาหาอีกกลุ่มหนึ่ง "รถคันแรก" แบบ "ซื้อเอง" ลูกค้าส่วนใหญ่จะอายุ 24++ หรือเรียกได้ว่า first jober นั้นเอง ประมาณว่าเริ่มทำงานแล้วเว้ย เริ่มมีเงินเก็บก็เริ่มที่จะหาของมาสนอง need ของตัวเอง "รถ" ถือได้ว่าเป็นโปรเจคใหญ่ชิ้นนึงในชีวิตเลยทีเดียวเพราะรถใหม่คันนึงก็ไม่ใช่ถูกๆ สี่แสนอัพกันทั้งนั้น เทียบไม่ได้เลยกับของที่ซื้อผ่านๆ มา จะให้เดินไปโชว์รูม เดินๆ ดูๆ ถูกใจๆ ต่อๆ ซื้อก็ใช่ที่ รถยนต์นะไม่ใช่กางเกงยีนส์
จะซื้อของราคาเป็นแสนก็ต้องเตรียมตัวกันนิ๊สนึง งั้นเรามาเตรียมตัวให้พร้อมกันก่อนที่จะมีรถคันแรกกันดีกว่านะครับ
- รถที่อยากจะได้
ไหนๆ ก็เป็นรถที่เราจะได้เป็นเจ้าของอยู่แล้วครับ อยากที่จะให้เลือกรถที่ตัวเองชอบขึ้นมาก่อนเห็นในทีวี เห็นบนท้องถนน เห็นเพื่อนขับ ก็ดูๆ ไว้แล้วก็ไปลองดูคันจริงที่โชว์รูมรถเลยดีกว่าครับ
ข้อแนะนำเมื่อไปโชว์รูมแล้วครับ
+ ถามเลยครับอยากรู้อะไรถามไปให้หมด ถ้าไม่รู้จะถามอะไรก็จะแนะนำคำถามเบสิคๆ ให้ครับ เป็นการเริ่มต้นคุยกับพนักงานขายที่ดีเลย "รถรุ่นนี้ดียังไงบ้าง" พนักงานขายก็จะเ้ริ่มสารธยายไปเรื่อยๆ สงสัยตรงไหนก็ถามไปเลยครับ จะถามแบบเปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่นดูก็ได้ว่าดีกว่ายังไง
+ มีรถทดลองขับไหม? ฟรีครับ ทดลองฟรีที่ไหนคิดค่าน้ำมันทดลองขับก็อย่าไปซื้อ ก่อนทดลองก็ถามนิดนึงว่ามีประกันหรือเปล่าถ้าไม่มีก็ทดลองด้วยความระมัดระวังกันนิดนึงนะครับ
+ อยากได้อะไรให้ขอ!!! อย่าอ้ำอึ้งครับ อยากได้แต่งรอบคันก็ขอไปเลย ดีกว่าให้เขาแถมอะไรที่ไม่ต้องการมา แต่อย่าต่อมากๆ แบบไม่คิดจะซื้อนะครับ เพราะถ้าพนักงานไปขอผู้จัดการขายหรือเจ้าของบริษัทแล้วเขาให้แต่เราบอกว่ายังไม่เอา พนักงานโดนเฉ่งน้ำหูไหลแน่ครับ ต่อพอประมาณแล้วเอาเงื่อนไขกับไปคิดแล้วพอตัดสินใจได้ค่อยมาต่อรองให้เด็ดขาดไปเลยทีเดียว ตกลงกันได้ก็ลงเงินจองกันไปเลย
- เปรียบเทียบข้อมูล
+ อาจจะถามพ่อ แม่ เพื่อนๆ ที่เคยใช้แล้ว ว่ามันเป็นอย่างไรประหยัดน้ำมันหรือไม่ ใช้แล้วจีบหญิงติดหรือเปล่า อะไรก็ว่ากันไป แต่อย่าให้ข้อมูลพวกนี้มาทำความสับสนให้เรานะครับ แค่ใช้ส่วนประกอบในการตัดสินใจก็พอ
+ หาในอินเทอร์เน็ต หาได้ครับแต่อย่าเชื่ออะไรมากนัก ตามเว็บบอร์ดต่างๆ อาจจะมีการโจมตีรถยนต์กันต่างๆ นาๆ ก็ว่ากันไป หน้าม้าก็มี อ่านพวกนี้ต้องใช้วิจารณญาณสูงหน่อยนะครับ ขอบอกตรงนี้ล่ะกันว่ารถยนต์มันเป็นวัตถุเคลื่อนที่ไม่ใช่อยู่กับที่นะครับ ต้องแต่วิ่งออกจากโรงงานมันก็มีโอกาสที่จะเกิดข้อบกพร่องได้แล้ว... อย่าให้อะไรเล็กๆ น้อยๆ มารบกวนการตัดสินใจเลย
+ เว็บบอร์ดของคนใช้รถรุ่นนั้นๆ เดียวนี้มีเยอะแยะครับ ฟอร์จูนเนอร์ครับ สเปซวากอนคลับ วีออสคลับ แจ๊สคลับ เยอะแยะครับ สงสัยอะไรก็ถามในเว็บนี้ได้ครับ เป็นคนใช้รถตัวจริง บางทีก็จับกลุ่มกันออกทริปไป ข้อเสียอย่างเดียวก็คือ อาจจะเชียร์กันเว่อร์เกิน (ใครๆ ก็ภูมิใจในของที่ตัวเองซื้อ)
- เงินทุนและหลักฐานการเงิน
+ เงินก้อน หมายถึง เงินดาวน์นะครับ กลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถคันแรก "ด้วยตัวเอง" ส่วนใหญ่จะซื้อแบบผ่อนส่งอยู่แล้วครับ ควรมีเท่าไรดี ก็ตอบได้ทันทีว่า ยิ่งเยอะยิ่งดีครับ ถ้าไม่มีมากนักอาจจะเริ่มต้นที่ 10% ได้แต่โอกาสที่ไฟแนนซ์จะรับจัดไฟแนนซ์ก็ยิ่งน้อยลงไปครับ เอาเป็นว่าแนะนำที่ 20% อัพ เป็นดีที่สุด รถหกแสนก็ดาวน์ประมาณแสนสอง ฟังดูเยอะนะครับตั้งแสนสองนี่ แต่ไม่ต้องห่วงครับเพราะทางบริษัทขายรถยนต์จะมี "แคมเปญ" มาช่วยอยู่แล้ว อาจจะช่วยออกเงินดาวน์ให้ หกหมื่นบาท ทำให้เราต้องดาวน์รถจริงแค่ หกหมื่นเองครับ
+ หลักฐานการเงิน อธิบายแบบง่ายๆ นะครับ ไฟแนนซ์จะขอสเตทเม้นท์ย้อนหลังกี่เดือนก็ว่ากันไป ก็ประมาณ 6 เดือนครับ เพื่อที่จะเอาไปพิจารณาว่าผู้กู้มีความสามารถที่จะชำระเงินได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็จะไม่อนุมัติให้กู้ครับ อดซื้อรถไปตามระเบียบ ดังนั้นแนะนำว่าสมควรที่จะมีสมุดบัญชีหนึ่งเล่มหมั่นเอาเงินเข้าออกบ่อยๆ ครับ จะดีที่สุด
+ ต้องมีเท่าไร ต่อจากหัวข้อด้านบนนะครับ ก็ส่วนใหญ่ก็จะดูว่าเงินเดือนประจำมีเป็นสองเท่าของยอดเงินที่ต้องส่งไฟแนนซ์หรือเปล่า เช่น ผ่อนเดือนล่ะหนึ่งหมื่นบาท ก็ต้องมีรายได้ประจำเดือนล่ะสองหมื่นบาท จริงๆ แล้วเรื่องไฟแนนซ์มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะครับ ทั้งมีผู้ค้ำ ซื้อร่วม เพิ่มดาวน์ begining อะไรอีกเยอะครับ แต่เอาง่ายๆ ตามข้างบนก็พอครับ ถ้าเงินประจำไม่พอจริงค่อยมาดูออฟชั่นที่กล่าวมาทีหลัง
- วางเงินจอง, จ่ายเงินดาวน์, ตรวจรถ, รับรถ
+ สรุปเงื่อนไขและข้อเสนอ ถ้าได้เคยขึ้นโชว์รูมแล้ว(ถ้าไม่ได้มีท่าทีว่าจะไม่ซื้อรถ) ยังไงพนักงานขายจะมีติดต่อมาหาอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้วครับ เราก็ต่อรองไปเรื่อยๆ ถามเรื่องการจัดไฟแนนซ์ไป ถ้าเราพอใจกับข้อเสนอที่ได้มาแล้วเราก็วางเงินจองไปครับ
+จัดไฟแนนซ์ พอวางเงินจองแล้วพนักงานขายก็จะทำการนัดกับพนักงานไฟแนนซ์มาเก็บเอกสารและคุยกับลูกค้าพร้อมทั้งเซ็นต์ชื่อในเอกสารด้วย ถ้าหลักฐานการเงินของเราดี(ตามหัวข้อด้านบน)ไม่ต้องทำการตกลงอะไรเพิ่ม จะได้รับผลอนุมัติไม่เกินสองวันครับ (อาจจะมีเกินนี้บ้าง)
+ รอรถ เนื่องจากบริษัทขายรถคงไม่มีทางสต็อครถได้ทุกรุ่นทุกสีอยู่แล้วครับดังนั้นต้องมีการเบิกจากบริษัทแม่ ถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ๆ ที่พึ่งออกอาจจะต้องรอนานหน่อยเพราะผลิตไม่พอต่อความต้องการ ข้ามปีก็มีมาแล้วครับ แต่ถ้าเป็นรถที่มีอยู่ในสต็อค(ของบริษัทแม่) ก็รอประมาณ 7 วันทำการครับ แต่ถ้าเราเอารุ่นที่มีอยู่ในสต็อคของบริษัทที่เราซื้อรถ ก็นัดวันรับรถได้เลยครับ ตัวอย่างที่ไม่ควรทำนะครับ ซื้อรถกระบะสีเหลืองมะนาวเบอรี่.... แล้วจะเอารถทันทีหลังจากจ่ายเงินดาวน์... บริษัทเขาไม่สั่งรถสีแปลกๆ มาสต็อคหรอกครับ มันขายยากต้องรอเบิกก่อนนะครับ คุณลูกค้า ...ลูกค้าก็จะถามอีกว่า ก็วางเงินมัดจำไปตั้งห้าพันแล้วทำไมไม่สั่งตั้งแต่ตอนนั้น... ก็ถ้าอยู่ดีๆ พี่เปลี่ยนใจไม่เอาสีนั้น ทางบริษัทอาจจะต้องสต็อคไอ้รถสีเหลืองมะนาวเบอรี่ข้ามปีเลยะนะนั่น
+ ตรวจรถ ถ้าเราไม่ได้สั่งให้ทำอะไรเพิ่มเช่นติดฟิล์ม พ่นกันสนิม เราก็ไปดูรถได้ครับหรือไปอีกทีตอนรับรถเลยก็ได้ครับ แต่แนะนำให้ทางบริษัทติดฟิล์ม พ่นกันสนิม เคลือบสีรถ หรือทำอะไรเพิ่มก็ได้ครับ เพราะราคาจะถูกกว่าเราเอารถไปติดเอง(แต่คุณภาพอาจจะไม่ดีเท่าเราเอาไปติดเอง) เราก็ต้องเน้นตรวจให้ดีครับ
+ รับรถ มาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วครับ วันรับรถนั้นเอง ก็เลือกวันมงคลหรือวันสะดวกก็แล้วแต่ครับ นำเงินดาวน์ไปชำระแล้วก็ตรวจรถขั้นสุดท้าย แล้วถอยรถเลยคร้าบบบบบบ
สุดท้ายก็....
ผ่อนรถให้ตรงงวดนะครับ รถจะได้อยู่กับท่านไปนานๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น